ในปัจจุบัน โลกกำลังเผชิญกับความท้าทายด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและมลพิษทางอากาศ โดยเฉพาะฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพของประชาชน การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ทำให้ภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอุตสาหกรรมพลังงาน จำเป็นต้องปรับตัว และให้ความสำคัญกับการพัฒนาอย่างยั่งยืนเพื่อสร้างอนาคตที่เต็มไปด้วยพลังงานสะอาด เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และยั่งยืนสำหรับคนรุ่นต่อไป

พลังงานเชื้อเพลิงชีวภาพ (Biofuel) เป็นทางเลือกที่สำคัญในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ลดมลพิษทางอากาศ และช่วยบรรเทาปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 เนื่องจากเป็นพลังงานที่สะอาด ทั้งยังช่วยเสริมสร้างความมั่นคงทางพลังงาน ลดการพึ่งพาการนำเข้าน้ำมันดิบ และสนับสนุนเศรษฐกิจหมุนเวียนภายในประเทศ โดยใช้ทรัพยากรทางการเกษตรให้เกิดประโยชน์สูงสุด

บริษัท บีบีจีไอ จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้นำในการผลิตพลังงานเชื้อเพลิงชีวภาพ ได้ปรับกลยุทธ์การผลิตเพื่อความยั่งยืน โดยมุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานผ่านการปรับปรุงกระบวนการผลิต เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ลดการปล่อยของเสีย ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และลดการปล่อยมลพิษที่ทำให้เกิด PM 2.5 ควบคู่กับการเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของบริษัทฯ เรามุ่งมั่นในการสร้างสมดุลระหว่างเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม เพื่อการเติบโตที่มั่นคงและยั่งยืน

ในปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้เน้นกลยุทธ์การผลิตพลังงานเชื้อเพลิงชีวภาพที่มีประสิทธิภาพ โดยกำหนดเป้าหมายการดำเนินงานที่ชัดเจนในทุกมิติ ซึ่งส่งผลให้ยอดขายเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากการใช้กำลังการผลิตของโรงงานได้เต็มประสิทธิภาพ และการบริหารจัดการความเสี่ยงอย่างเป็นระบบเพื่อป้องกันผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อเป้าหมายทางธุรกิจ ด้วยแนวทางดังกล่าว บริษัทฯ จึงสามารถรักษาอัตราการเติบโตของผลประกอบการและสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้นได้อย่างต่อเนื่อง ในปี 2567 บริษัทฯ มีรายได้รวม 22,192 ล้านบาท คิดเป็น EBITDA 911 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 215 ล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้เพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัท บีบีจีไอ ไบโอดีเซล จำกัด จากร้อยละ 70 เป็นร้อยละ 100 ซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการขยายธุรกิจและการเติบโตอย่างมั่นคงด้วยการเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันอย่างต่อเนื่อง

บริษัทฯ ตระหนักถึงการเติบโตทางธุรกิจควบคู่ไปกับการดำเนินงานและการลงทุนอย่างยั่งยืน โดยให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่ายในด้านสิ่งแวดล้อม (ENVIRONMENT) สังคม (SOCIAL) และบรรษัทภิบาล (GOVERNANCE) หรือ ESG เราเชื่อมั่นว่าการดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบต่อสังคมจะสร้างประโยชน์ให้แก่ส่วนรวมและสนับสนุนการเติบโตขององค์กรอย่างมั่นคงและยั่งยืน ในปี 2567 บริษัทฯ ได้รับการปรับเพิ่มอันดับเครดิตองค์กรเป็นระดับ “A” ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต “คงที่” จากการจัดอันดับของทริสเรทติ้ง นอกจากนี้ยังได้รับการประเมินในโครงการสำรวจการกำกับดูแลกิจการบริษัทจดทะเบียน (CGR 2024) อยู่ในระดับ “ดีเลิศ (EXCELLENT)” หรือ 5 ดาว ต่อเนื่องเป็นปีที่สอง และได้รับผลการประเมินหุ้นยั่งยืน หรือ SET ESG RATINGS 2567 ในระดับ “AA” และได้รับการคัดเลือกเป็น 1 ใน 19 หลักทรัพย์ที่อยู่ในกลุ่ม ESG EMERGING ปี 2567 รวมถึงได้รับการบรรจุอยู่ในทำเนียบ ESG100 เป็นครั้งแรกจากการประเมินของสถาบันไทยพัฒน์

ในปี 2568 นี้ บริษัทฯ ยังคงมุ่งมั่นในการดำเนินการผลิตพลังงานเชื้อเพลิงชีวภาพอย่างยั่งยืน โดยให้ความสำคัญกับการยกระดับประสิทธิภาพการทำงาน (Operational Excellence) ควบคู่ไปกับการบริหารจัดการของเสียอย่างเป็นระบบ นอกจากนั้น บริษัทฯ ยังมุ่งเน้นการต่อยอดผลิตภัณฑ์ รวมถึงการนำของเสียจากกระบวนการผลิตมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูงขึ้น (High-Value Products) ซึ่งเป็นแนวทางสำคัญในการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในตลาดและคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมเป็นสำคัญ

ในนามของบริษัทฯ ผมขอขอบคุณท่านผู้ถือหุ้นและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกท่านที่ได้ให้ความไว้วางใจและเชื่อมั่น รวมถึงให้การสนับสนุนบริษัทฯ มาโดยตลอด เรามุ่งมั่นที่จะสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องให้กับธุรกิจของเรา โดยมุ่งเน้นการกำกับดูแลกิจการที่มีความโปร่งใสและมีธรรมาภิบาล เพื่อให้บริษัทฯ เป็นองค์กรที่ยั่งยืน และสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีแก่ผู้ถือหุ้น พร้อมทั้งสร้างคุณค่าให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย เราจะยังคงมุ่งมั่นในการพัฒนานวัตกรรมทางธุรกิจอย่างยั่งยืน ควบคู่ไปกับการรักษาสมดุลระหว่างการเติบโตทางเศรษฐกิจและการดูแลสิ่งแวดล้อมและสังคม ซึ่งเป็นหลักการที่เราได้ยึดถือมาโดยตลอด เพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับโลกและอนาคตที่ดีขึ้นสำหรับทุกคน

นายปฏิภาณ สุคนธมาน

ประธานกรรมการบริษัท

31 ธันวาคม 2567